มาตรฐานดาวโรงแรมคืออะไร?
มาตรฐานดาวโรงแรมเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในการจัดระดับและจัดประเภทโรงแรมตามคุณภาพโดยรวม สิ่งอำนวยความสะดวก บริการ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ระบบจัดระดับดาวโรงแรมนี้เป็นมาตรฐานแก่นักท่องเที่ยวในการประเมินระดับความสะดวกสบายและความหรูหราที่คาดว่าจะได้รับจากโรงแรมนั้นๆ
แม้จะมีมาตรฐานดาวโรงแรมหลายประเภทที่ใช้กันทั่วโลก แต่โดยทั่วไปแล้วมักเป็นมาตรฐานโรงแรม 1-5 ดาว – ยิ่งมีดาวมาก คุณภาพของโรงแรมก็ยิ่งดีขึ้น การนับดาวบางที่อาจมีการให้คะแนนครึ่งดาวด้วย
มาทำความรู้จักมาตรฐานดาวโรงแรม
มาดูกันว่าระดับดาวแต่ละดวงคืออะไรบ้าง
- 1 ดาว: ที่พักราคาประหยัดพร้อมบริการพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกแบบเบสิค โรงแรมเหล่านี้มักมีราคาไม่แพงและมีสิ่งอำนวยความสะดวกจำกัด
- 2 ดาว: ที่พักแบบเรียบง่ายพร้อมระดับความสะดวกสบายและบริการที่ดีขึ้นมาเล็กน้อย อาจรวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม เช่น ร้านอาหาร รูมเซอร์วิส หรือ Wi-Fi
- 3 ดาว: โรงแรมระดับกลางที่ให้บริการที่พักที่สะดวกสบายพร้อมระดับการบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดี โดยทั่วไปจะมีร้านอาหาร บาร์ และอาจมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ยิม หรือห้องประชุม
- 4 ดาว: โรงแรมระดับพรีเมียมที่มีชื่อเสียงด้านคุณภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกรวมถึงบริการที่หลากหลาย บรรดาโรงแรมเหล่านี้มักมีห้องพักที่ตกแต่งอย่างดี ร้านอาหารหลายร้าน สปา ฟิตเนส และอื่นๆ
- 5 ดาว: โรงแรมหรูที่ให้ความสะดวกสบาย ความไฮเอนด์ และบริการทุกระดับประทับใจแบบสูงสุด ทั้งห้องพักอันกว้างขวางและลักชูรี่ บรรดาร้านอาหารที่ยอดเยี่ยม สปาแบบครบวงจร บริการ Concierge และสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมียมอื่นๆด้วย
โดยทั่วไป นักท่องเที่ยวใช้ดาวโรงแรมในการเลือกโรงแรมที่ตรงกับความต้องการของพวกเขา แขกที่ต้องการความหรูหราก็มองหาโรงแรมระดับดาวสูงสุด ส่วนแขกที่มีงบประมาณจำกัดอาจเลือกโรงแรมระดับดาวไม่สูงมาก
อย่างไรก็ตาม ระบบจัดระดับดาวโรงแรมไม่ใช่เกณฑ์เดียวที่ผู้ประกอบการโรงแรมควรให้ความสำคัญ นักเดินทางส่วนใหญ่ก็ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์อื่นควบคู่ไปด้วยเช่น Google Hotel Finder และ TripAdvisor ในการหาที่พัก
หากได้จัดอันดับต้นๆบนแพลตฟอร์มข้างต้น (และอื่นๆ อีกมากมาย) อาจมีความสำคัญพอๆ กับ หรือมากกว่าการจัดระดับมาตรฐานดาวโรงแรมแบบดั้งเดิมเสียด้วยซ้ำ
ทำไมมาตรฐานดาวโรงแรมถึงมีความสำคัญสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็ก?
การจัดระดับดาวของโรงแรมมีความสำคัญต่อผู้ประกอบการโรงแรม ดังนี้:
- ความได้เปรียบทางการแข่งขัน: การมีระดับดาวสูงๆ จะเพิ่มความได้เปรียบในกลุ่มตลาดโรงแรมขนาดเล็ก นักเดินทางมักใช้ระดับดาวเป็นตัวกรองเบื้องต้นเมื่อต้องการค้นหาที่พัก ระดับดาวที่สูงกว่าสามารถดึงดูดการจองได้มากกว่าและทำให้โรงแรมขนาดเล็กสามารถกำหนดราคาห้องพักที่สูงกว่าได้ ส่งผลให้มีรายได้และผลกำไรเพิ่มขึ้น
- ความคาดหวังของแขก: ระบบมาตรฐานดาวโรงแรมทำให้ลูกค้านึกภาพออกว่าที่พักนั้นจะเป็นประมาณไหน ซึ่งพอจะคาดเดาได้ว่าระดับความสะดวกสบาย สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการที่จะได้รับเป็นประมาณไหน ช่วยลดปัญหาเมื่อเข้าพักแล้วอาจรู้สึกผิดหวังหรือแปลกใจกับสิ่งที่โรงแรมมีให้เมื่อเข้าพัก
- การควบคุมคุณภาพ: มาตรฐานจัดระดับดาวช่วยในการควบคุมคุณภาพโรงแรมขนาดเล็ก เป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการโรงแรมรักษาและปรับปรุงมาตรฐานที่พัก เพื่อให้ได้รับระดับดาวที่สูงขึ้น เป็นการช่วยให้มีการปรับปรุง การอัปเกรด และการฝึกอบรมพนักงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นไปตามหรือเกินความคาดหวังที่กำหนดในแต่ละระดับดาว
- การเป็นที่รู้จักในตลาด: โรงแรมขนาดเล็กที่ได้รับระดับดาวที่สูงนำไปสู่การยอมรับและชื่อเสียง เหมือนเป็นรางวัลแสดงความเป็นเลิศและการมีคุณภาพ นำไปสู่การมีภาพลักษณ์เชิงบวกและความน่าเชื่อถือที่เพิ่มขึ้น
- เว็บจองออนไลน์ (OTAs): มาตรฐานดาวโรงแรมมีบทบาทสำคัญในแพลตฟอร์มการจอง ในหลายๆเว็บจองออนไลน์หลายแห่งแสดงระดับดาวอย่างชัดเจน และนักเดินทางมักใช้มันเป็นปัจจัยในการตัดสินใจเลือกโรงแรม โรงแรมขนาดเล็กที่มีระดับดาวสูงกว่ามีแนวโน้มที่จะโดดเด่นในแพลตฟอร์มเหล่านี้มากขึ้น เพิ่มการมองเห็นและโอกาสในการจองสูงขึ้น
ข้อดีของมาตรฐานดาวโรงแรมสำหรับโรงแรมขนาดเล็ก
การใช้มาตรฐานดาวโรงแรมบนแพลตฟอร์มใดก็ตาม – ไม่ว่าจะเป็นการจัดระดับอย่างเป็นทางการโดยองค์กรในอุตสาหกรรม หรือการจัดระดับอัตโนมัติจากรีวิวของลูกค้า (เช่น รีวิวบน Google) – ช่วยให้แขกเข้าใจได้อย่างรวดเร็วเลยว่าจะได้อะไรบ้างในแง่ของบริการและราคา
หากคุณสามารถรักษาอันดับและคะแนนที่ยอดเยี่ยม คุณก็มีโอกาสดึงดูดลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง การมีอันดับดาวที่ต่ำกว่าไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายเสมอไป บางครั้งโรงแรมที่มีดาวน้อยกว่าอาจตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่มีงบประมาณจำกัดหรือต้องการประสบการณ์ที่เรียบง่าย แม้ว่าโรงแรมที่มีอันดับดาวต่ำกว่าจะยังคงมีที่ยืนในตลาด แต่ผู้ประกอบการโรงแรมส่วนใหญ่มักพยายามยกระดับดาวให้สูงขึ้น เพราะการลงทุนเพื่อยกระดับมาตรฐานมักจะคุ้มค่าในระยะยาว ทั้งในแง่ของรายได้ที่เพิ่มขึ้น ชื่อเสียงที่ดีขึ้น และความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาด
อย่างไรก็ตาม พึงระลึกไว้ว่าการจัดระดับดาวไม่ใช่ทุกอย่าง ลูกค้าจะตัดสินใจเลือกโรงแรมโดยพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง ราคา ทำเลที่ตั้ง สิ่งอำนวยความสะดวก ภาพลักษณ์แบรนด์ รีวิว คำแนะนำ – ทั้งหมดนี้มีส่วนในการตัดสินใจ การจัดระดับดาวเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
มาดูกันว่าจะทำอย่างไรให้ได้ดาวสูงขึ้น – ทั้งมาตรฐานระดับดาวแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ – ช่วยเพิ่มรายได้และรักษาอันดับเบอร์ต้นๆไว้
มาตรฐานดาวโรงแรม นับดาวยังไง?
ปกติแล้ว จะเป็นมาตรฐานโรงแรม 1-5 ดาว แต่ก็มีข้อยกเว้น เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีระบบการจัดอันดับ 7 ดาว แต่ส่วนใหญ่แล้ว 5 ดาวคือระดับสูงสุด และเรียกเก็บราคาสูงได้
การนับดาวนี้มีทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งขึ้นอยู่กับประเทศที่คุณอยู่
- สหรัฐอเมริกา: ในสหรัฐฯ มีบริษัทจัดอันดับเช่น Forbes และ AAA แต่โรงแรมหลายแห่งโฆษณาว่าเป็น “ห้าดาว” โดยไม่ได้รับการจัดอันดับจากองค์กรเหล่านี้จริง ๆ
- อิตาลี: โรงแรมในอิตาลีได้รับการจัดอันดับจากรัฐบาล โดยมีเกณฑ์ที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม สถานที่ต่าง ๆ ในประเทศอาจมีมาตรฐานที่แตกต่างกัน – เช่น โรงแรม 3 ดาวในเวนิสอาจมีข้อกำหนดที่แตกต่างจากโรงแรม 3 ดาวในเนเปิลส์
- ฝรั่งเศส: มาตรฐานดาวโรงแรมของฝรั่งเศสควบคุมโดย Atout France และ COFRAC ซึ่งโรงแรมต้องได้รับการตรวจสอบทุก 5 ปีเพื่อรักษาระดับดาวไว้ มีจุดที่น่าสนใจก็คือโรงแรม 5 ดาวของฝรั่งเศสสามารถได้รับสถานะ “พระราชวัง” ซึ่งเป็นการจัดดาวที่ไม่เหมือนใคร
- ออสเตรเลีย: ออสเตรเลียใช้ระบบ Star Ratings Australia สำหรับการจัดระดับดาวอย่างเป็นทางการ แต่บางครั้งคุณอาจเจอโรงแรมที่เป็น “หกดาว” ซึ่งไม่ใช่การจัดอันดับอย่างเป็นทางการ เป็นเหมือนกลยุทธ์ทางการตลาดในการสร้างความแตกต่างมากกว่า
ระบบการจัดระดับดาวอย่างเป็นทางการทุกระบบจะมีหมวดหมู่การประเมินที่แตกต่างกัน แต่มีหลักการพื้นฐานคล้ายกัน แต่ละระบบอาจให้น้ำหนักความสำคัญกับแต่ละหมวดหมู่แตกต่างกันไป บางระบบกำหนดให้มีเกณฑ์บังคับที่โรงแรมต้องผ่านเพื่อให้ได้รับการนับดาวในระดับนั้นๆ ไม่ว่าจะใช้ระบบการประเมินแบบใด หลักการสำคัญคือ ยิ่งจำนวนดาวมาก ยิ่งหมายถึงคุณภาพและมาตรฐานที่สูงขึ้น
ตัวอย่างการวัดระดับดาวโรงแรมออนไลน์
แม้การจัดระดับดาวจากองค์กรเช่น Forbes จะมีประโยชน์ แต่โรงแรมหลายแห่งก็สามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องรับการจัดอันดับอย่างเป็นทางการ แต่อาศัยการจัดระดับดาวที่อิงจากรีวิวของลูกค้าและแขกที่เข้าพักจริง เราเห็นการจัดอันดับเหล่านี้ได้บน Google My Business, TripAdvisor, Agoda และอีกหลายๆแพลตฟอร์ม
การจัดระดับดาวเหล่านี้มีประโยชน์เหมือนกับการจัดระดับดาวแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นการช่วยบอกว่าคุณภาพของโรงแรมเป็นยังไง การได้รับคะแนนดีจะเป็นตัวช่วยบอกว่าโรงแรมของคุณควรค่าแก่การจองเข้าพัก
นอกจากนี้ การจัดระดับดาวประเภทนี้เป็นการรีวิวโดยแขกที่มาเข้าพักในโรงแรมของคุณจริงๆ โรงแรม 3 ดาว (ตามการนับดาวแบบดั้งเดิม) อาจได้รับ 5 ดาวจากแขกที่มาเข้าพัก เพราะแขกมีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม แขกเข้าพักไม่ได้เดินไปรอบๆโรงแรมพร้อมกับแบบฟอร์มตรวจสอบ แต่ให้คะแนน 5 ดาวเพราะรู้สึกว่าได้รับประสบการณ์ระดับ 5 ดาว โดยไม่คำนึงว่าโรงแรมของคุณมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากน้อยเพียงใด

วิธีเพิ่มอันดับโรงแรมของคุณ
หากคุณต้องการเพิ่มอันดับดาวโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นแบบดั้งเดิมหรือบน Google มีกลยุทธ์ที่คุณสามารถทำตามได้ ดังนี้:
1. ปรับปรุงเว็บไซต์โรงแรมให้ดูดี
การปรับปรุงเว็บไซต์โรงแรมและรายชื่อที่พักให้ติดอันดับต้นๆ บน Google หรือเว็บจองต่างๆ มีความสำคัญมาก ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ เพิ่มโอกาสในการจองห้องพัก ยิ่งมีแขกมาพักมากเท่าไร โอกาสในการได้รับรีวิว(เชิงบวก) ก็มากขึ้นเท่านั้น
2. มอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมแก่แขกเข้าพัก
ระบบการจัดระดับดาวทั้งแบบดั้งเดิมและแบบออนไลน์ล้วนอิงจากประสบการณ์จริงของแขกที่เข้าพัก ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรูระดับโลกหรือโรงแรมขนาดเล็ก ประสบการณ์ของแขกคือหัวใจสำคัญ เช่น Mandarin Oriental กรุงเทพฯ หรือ The Siam ล้วนมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่หรูหราและน่าประทับใจ
คุณสามารถเริ่มจากการสร้างความประทับใจด้วยการใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นมีระบบการจองและเช็คอินออนไลน์ที่ใช้งานง่าย แขกที่ประทับใจมีแนวโน้มที่จะให้คะแนนเต็มและรีวิวที่ดี ช่วยส่งผลให้อันดับของโรงแรมดีขึ้นในระบบการจัดอันดับต่างๆ
3. ตอบกลับทุกรีวิวที่ได้รับ
รีวิวโรงแรมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการจัดอันดับออนไลน์และเป็นหัวใจของเว็บจองออนไลน์ และคะแนนที่ไม่ดีในด้านนี้จะไม่เพียงแต่ทำให้แขกไม่อยากจองกับคุณเท่านั้น แต่คุณอาจพบว่าโรงแรมของคุณไม่โผล่ในผลการค้นหาเลย!
รีวิวเชิงลบมองว่าเป็นโอกาสในการอธิบายต่อคำวิจารณ์และแสดงให้เห็นว่าคุณเปิดกว้างและรับฟังความต้องการของแขก คุณไม่ได้ตอบเพียงแค่คนที่เขียนรีวิวเชิงบวกเท่านั้น
4. ใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดีย
โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการโฆษณา ทั้งการโฆษณาแบบเสียเงินและแบบออร์แกนิค การตลาดโซเชียลมีเดียของโรงแรมยังเหมาะกับการสร้างชุมชนของเหล่าบรรดาโรงแรมขนาดเล็กอีกด้วย ซึ่งเป็นการช่วยแจ้งข่าวสาร การอัพเดท กิจกรรมที่กำลังจะมี และการเข้าถึงแขกของคุณ
การมีตัวตนบนโซเชียลมีเดียเปิดโอกาสหลายๆอย่างในการทำให้แขกจดจำคุณได้ ช่วยให้แขกกลับมาเข้าพักซ้ำและกลับมารีวิวอีก เป็นอีกหนึ่งทางในการไต่อันดับ
5. ปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงแรมขนาดเล็กด้วยการวิเคราะห์ตัวเลขและข้อมูล
หากคุณไม่มีระบบจัดการธุรกิจโรงแรมที่วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้อย่างละเอียด คุณกำลังพลาดโอกาสสำคัญ! หากมีการวิเคราะห์ที่เหมาะสม คุณสามารถรู้ว่าแขกมองหาอะไรกันแน่จากโรงแรมของคุณ ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงรีวิวและอันดับของคุณได้
นอกจากนี้ โปรดจำไว้ว่าอันดับเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมการเท่านั้น – ราคาก็สำคัญไม่แพ้กัน หรืออาจจะสำคัญมากกว่าด้วยซ้ำ การใช้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์คู่แข่งจะช่วยให้คุณยังคงแข่งขันในตลาดได้ไปพร้อมๆกับการไต่อันดับ ช่วยให้คุณรู้ว่าเมื่อไหร่ควรขึ้นหรือลดราคาตามความต้องการของตลาด
สำหรับผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กในประเทศไทย การใช้กลยุทธ์เหล่านี้ร่วมกับการเน้นย้ำจุดแข็งของความเป็นไทย เช่น การบริการที่อบอุ่น อาหารไทยที่อร่อย และการมอบประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับโรงแรมของคุณทั้งสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ
By Shine Colcol
Shine เป็น SEO และผู้จัดการเนื้อหาของ Little Hotelier ซึ่งเป็นโซลูชันซอฟต์แวร์ All-in-One ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ชีวิตของผู้ให้บริการที่พักขนาดเล็กง่ายขึ้น ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากกว่าห้าปีในกลยุทธ์เนื้อหาการสร้างและการจัดการ Shine ได้ผลิตเนื้อหาที่ให้ข้อมูลในหัวข้อต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการปรับปรุงการดำเนินงานประจำวันและเพิ่มการวัดธุรกิจ เธอตั้งเป้าหมายที่จะแบ่งปันบทความที่ได้รับการวิจัยเป็นอย่างดีโดยหวังว่าจะช่วยผู้ประกอบการนอนและอาหารเช้าได้รับการจองมากขึ้นและควบคุมอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กได้มากขึ้น
Table of contents